ตายายกู้เงินนายทุน 1.2 แสน ถูกเรียกเก็บโหด 4.5 แสนร้องคนช่วย

admin | อุทาหรณ์เงินกู้ | June 28, 2018

ตายายกู้เงินนายทุน 1.2 แสน ถูกเรียกเก็บโหด 4.5 แสนร้องคนช่วย

ชาวบ้านซับอุดม ต.ทุ่งจังหัน อ.โนนสุวรรณ จ.บุรีรัมย์ ที่มีอาชีพขับรถตู้รับจ้าง ได้นำรูปถ่ายพร้อมคำบอกเล่าจากสองตายายเข้าร้องเรียนศูนย์ดำรงธรรมจังหวัดบุรีรัมย์ ทั้งนี้เพื่อให้ทางศูนย์ดำรงธรรมลงพื้นที่ตรวจสอบข้อเท็จจริงและหาแนวทางช่วยเหลือสองสามีภรรยาที่แก่ชรา อายุ 92 ปี และ อายุ 87 ปี ตามลำดับ

โดยเรื่องราวเริ่มจากเมื่อ 5 ปีก่อน ผู้เป็นสามีได้ไปกู้ยืมเงินนอกระบบจากนายทุนรายหนึ่งจำนวน 120,000 บาท โดยนำโฉนดที่ดินที่เป็นบ้านอาศัยอยู่ปัจจุบันไปค้ำประกันเงินกู้

ซึ่งการกู้เงินครั้งนี้ก็เพื่อต้องการนำเงินไปให้ลูกของตัวเองซึ่งเดือดร้อนเรื่องเงิน โดยในการกู้เงินครั้งนั้น นายทุนได้คิดอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 30 บาทต่อปี

ต่อมานายทุนมาบอกว่ายอดเงินกู้ทั้งหมดคือ 300,000 บาท โดยล่าสุดเมื่อวันที่ 25 มิ.ย. ที่ผ่านมานายทุนรายดังกล่าวได้ส่งหนังสือแจ้งสองตายายว่า หากไม่นำเงินที่กู้ยืมไปทั้งต้นและดอกเบี้ยรวมทั้งสิ้น 452,375 บาท มาจ่ายภายใน 15 วัน จะยึดบ้านที่นำไปค้ำประกันเงินกู้ไว้และจะขับไล่ออกจากบ้าน

ด้วยเหตุดังกล่าวจึงอยากให้ทางศูนย์ดำรงธรรมไปตรวจสอบข้อเท็จจริงและหาแนวทางช่วยเหลือสองตายายด้วย

จากการสอบถามข้อมูลคนที่มายื่นเรื่องร้องเรียน ชาวบ้านรายดังกล่าวบอกว่า ตนขับรถตู้รับจ้างผ่านไปเห็นยายนั่งร้องไห้อยู่ที่บ้าน จึงเข้าไปสอบถาม ยายก็เล่าถึงสาเหตุของความทุกข์ใจให้ฟังว่า

โดยเล่าให้ฟังว่าเมื่อ 5 ปีที่แล้ว สามีของตนไปกู้ยืมเงินนอกระบบจากนายทุนมา 120,000 บาทให้ลูกที่กำลังเดือดร้อน แต่ต่อมาทางนายทุนมาบอกว่าคุณตากู้เงินไปทั้งหมด 300,000 บาท และพอครบกำหนด 5 ปีก็มาเรียกเก็บทั้งเงินต้นและดอกเบี้ยสูงถึงกว่า 450,000 บาท ทั้งๆที่ตายายก็ไม่มีรายได้อะไร

จนล่าสุดนายทุนได้ส่งหนังสือมาแจ้งสองตายายว่าถ้าไม่นำเงินไปจ่ายภายใน 15 วันจะยึดบ้านและขับไล่ออกจากบ้าน ด้วยความสงสารจึงเป็นตัวแทนมาร้องเรียนที่ศูนย์ดำรงธรรมให้ไปตรวจสอบข้อเท็จจริง และหาแนวทางช่วยเหลือสองตายายต่อไป

ด้านผู้อำนวยการกลุ่มงานศูนย์ดำรงธรรม จ.บุรีรัมย์ กล่าวว่า เบื้องต้นได้รับเรื่องร้องเรียนไว้ พร้อมจะประสานไปทางศูนย์ดำรงธรรม อ.หนองกี่ ท้องที่เกิดเหตุให้ลงพื้นที่ไปตรวจสอบข้อเท็จจริงว่าเป็นอย่างไร มีการทำสัญญากู้ยืมกันจริงหรือไม่ พร้อมจะประสานงานเพื่อให้ความช่วยเหลือต่อไป