กู้เงินล้านง่ายๆด้วยเงินเดือนเพียง 15,000
กู้เงินล้านง่ายๆด้วยเงินเดือนเพียง 15,000
เคล็ดลับการกู้เงินที่สถาบันการเงินในระบบกลัวที่สุดและไม่อยากให้คุณรู้ แต่เรานำมาเปิดเผยว่าทำไมกระบวนการให้เงินกู้ยืมกับลูกหนี้อย่างเรานั้นถึงเข้มงวดมากนัก แม้ดูเหมือนว่าเราจะมีรายได้มั่นคง เงินเดือนดี แถมยังไม่มีภาระหนี้สินอะไร แต่กลับโดนปฏิเสธสินเชื่อได้โดยง่าย อาจเพราะผู้ให้กู้มองเห็นว่าเรามีความเสี่ยงในประเด็นนี้ก็เป็นได้
ในอดีตก่อนที่จะมีการจัดตั้งบริษัทเครดิตไทย หรือเครดิตบูโรที่เราคุ้นเคยกันนั้น สถาบันการเงินไทยหลายแห่ง ต่างก็ประสบกับปัญหาหนี้เสียเป็นจำนวนมาก เนื่องจากไม่ทราบประวัติการชำระหนี้ของลูกหนี้ในอดีต เมื่อปล่อยกู้ไปแล้วเพิ่งจะค้นพบว่าลูกหนี้มีหนี้สินเป็นจำนวนมาก ถึงขั้นยอมเป็นบุคคลล้มละลาย แต่กลับมีทรัพย์สินที่ไม่สามารถยึดมาขายทอดตลาดได้ในชื่อบุคคลใกล้ชิด เปรียบได้กับกรณีล้มบนฟูกที่เราพบเห็นกันนั่นเอง
ปัจจุบันหลังจากมีเครดิตบูโรมาบังคับใช้กับสถาบันการเงินที่เป็นสมาชิก สถานการณ์หนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้หรือ NPL นั้นดีขึ้นในกลุ่มลูกค้าบุคคล แต่ในกลุ่มลูกค้าธุรกิจ ยังอาศัยช่องโหว่นี้ล้มบนฟูกอยู่บ้างประปราย เรามาดูกันว่าเขาทำอย่างไรถึงกู้เงินเป็นล้านๆจากรายได้เพียงน้อยนิด
เจ้าหนี้อยากปล่อยกู้ใจจะขาดหากพิจารณาแล้วว่าลูกหนี้มีรายได้มาชำระหนี้ได้แน่ๆ
สถาบันการเงินมีหน้าที่ปล่อยเงินกู้จากเงินทุนหรือเงินฝากเพื่อหากำไรส่วนต่าง การเก็บเงินไว้เฉยๆของสถาบันการเงินจึงไม่เกิดประโยชน์อะไร สถาบันการเงินจึงมักยินดีปล่อยกู้ หากพบว่าลูกหนี้นำเงินไปประกอบกิจการ ใช้จ่าย หรือซื้อทรัพย์สินที่มีมูลค่าจริงๆ
อย่างการปล่อยเงินกู้ซื้อบ้านนั้น เจ้าหนี้มองว่าสินทรัพย์ที่มีอยู่พอจะคุ้มมูลหนี้ หากเป็นเงินกู้ส่วนบุคคลเงินเดือนก็ถือเป็นรายได้สม่ำเสมอ หากประกอบธุรกิจ ก็จะมีการตรวจสอบว่าธุรกิจนั้นๆสร้างรายได้สม่ำเสมอแน่นอน จึงตัดสินใจปล่อยกู้ออกไป โดยตามกฏระเบียบที่กำหนดจากกระทรวงการคลังจะมีเพดานการกู้ยืมอยู่แล้ว
หากเรามาพิจารณาเฉพาะสินเชื่อสำหรับมนุษย์เงินเดือนก็จะพบว่า ทางสถาบันการเงินจะพิจารณาถึงอัตราเงินเดือน ระยะเวลาที่ทำงาน ตำแหน่ง ประกอบการตัดสินใจในการให้กู้
ในส่วนของ slip เงินเดือนนั้นจะมีการพิจารณาว่า เงินเดือนที่ได้รับสุทธิมีมากน้อยแค่ไหน เพราะถ้ามีรายหักจากการกู้ยืมเงินของบริษัท สหกรณ์ หรือโครงการกับธนาคารออมสิน รายการเหล่านี้จะปรากฏใน slip เงินเดือน แต่หากมีการกู้เงินกับสถาบันการเงินภายนอก ก็จะไม่ปรากฏในสลิป แต่จะสามารถสะท้อนได้จากรายการเดินบัญชีหลังเงินเดือนออก ว่ามีการถอนเงินสดออกไปมากน้อยแค่ไหน ซึ่งพอจะมองได้ว่ามีการนำไปชำระหนี้มากหรือไม่ และหลังช่วงต้นเดือนแล้วเหลือเงินในบัญชีอยู่ประมาณเท่าไหร่
นี่คือเหตุที่ว่าทำไมผู้ปล่อยกู้ถึงต้องการดูการเดินบัญชีย้อนหลังด้วย เพื่อวิเคราะห์ความเสี่ยงต่างๆ และมองว่าจะปล่อยสินเชื่อให้ได้เท่าไหร่
ดังนั้นหากเราต้องการเงินล้านและต้องการเล่นงานเจ้าหนี้ในระบบ เราจึงต้องวางแผนตบแต่งบัญชีการเงินของเราอย่างดี รวมถึงหลบเลี่ยงเครดิตบูโรอย่างถูกกฏหมายที่เจ้าหนี้เองไม่อยากให้เรารู้ดังวิธีการต่อไปนี้ แต่ขอเน้นนะครับว่ากรณีนี้ใช้ได้กับคนที่ยังไม่เคยกู้ยืมเงินกับสถาบันการเงินใดๆมาก่อน หรือกู้แล้วก็เป็นเพียงจำนวนน้อยๆ ประวัติยังดีอยู่ หากมีหลายบัตรแล้วหมุนเงินไม่ทันก็หมดสิทธิ์ เพราะข้อมูลในเครดิตบูโรมันฟ้องอยู่ดี
เตรียมบัญชี
– บริษัทยักษ์ใหญ่บางรายที่เห็นในข่าวว่าตบแต่งบัญชีว่ามีกำไร ทั้งๆที่กำลังประสบภาวะขาดทุน ก็เพื่อหลอกเจ้าหนี้คือผู้ถือหุ้นทั้งหลาย ให้ปล่อยกู้เพิ่ม ประคองธุรกิจ จนวันหนึ่งเรื่องแดงออกมา ก็ต้องขายกิจการหรือล้มละลายไป เจ้าหนี้ก็หน้าแห้งไปตามๆกัน
บุคคลเองก็สามารถตบแต่งบัญชีได้เช่นกัน หากเรามีภาระหนี้สินมาก และคาดว่าไม่รอดแล้ว ยอมล้มละลายดีกว่า แต่ก่อนล้มขอล้มบนฟูก อยากหาเงินซักก้อนไปทำสวนทำไร่ละก็สามารถตบแต่งบัญชีได้เช่นกัน
เริ่มต้นหากเรามีเงินเดือน 15,000 บาท แต่มีหนี้สินต้องชำระในช่วงต้นเดือนมาก ก็ต้องหาวิธีตบแต่งบัญชีเงินเดือนของเราด้วยวินัยที่เข้มแข็ง โดยเริ่มต้นจากการหยิบยืมเงินมาก้อนหนึ่งซัก 10,000 บาท มาเปิดบัญชีอีกบัญชีหนึ่งไว้ ซึ่งควรจะเป็นคนละธนาคารกับที่ใช้สำหรับเงินเดือน
จากนั้นช่วงต้นเดือนเมื่อเงินเดือนออก ก็ถอนเงินจากบัญชีเงินเดือนให้พอค่าที่พักเช่น 3,000 บาท และค่าใช้จ่ายส่วนตัวอีกซักเล็กน้อยรวมแล้วเป็น 4,000 บาท ส่วนหนี้สินอื่นๆ ก็ไปถอนเงินจากบัญชีสำรองมาจ่ายแทนที่จะกดเงินจากบัญชีเงินเดือน เช่นถอนมา 9,000 บาท มาจ่ายหนี้สินต่างช่วงต้นเดือนจนหมด จากที่ก่อนหน้านี้เคยถอนจากบัญชีเงินเดือน พอผ่านไป 10 วันเงินเหลือไม่กี่พัน ตอนนี้จะกลายเป็นว่าเงินเหลืออยู่ หมื่นกว่าบาท
จากนั้นพอเลยวันที่ 10 ก็เริ่มทยอยถอนเงินทีละ 500 ทีละ 1,000 วันเว้นสองวัน และนำกลับไปฝากบัญชีสำรองให้ครบ 15,000 เหมือนเดิม ซึ่งหากฝ่ายสินเชื่อมองตัวเลขนี้ก็จะเข้าใจว่าเป็นค่าใช้จ่ายส่วนตัว ค่ากิน ค่าเที่ยว ซึ่งเราสามารถชี้แจงเวลายื่นกู้ได้ว่า จะลดรายจ่ายกินเที่ยวลงเพื่อมาผ่อนหนี้แทน
แต่ในความเป็นจริงในแต่ละเดือนเราก็แทบไม่เหลืออะไรแล้ว วิธีการนี้ก็เพื่อหลบเลี่ยงตัวเลขการกดเงินก้อนออกมาช่วงต้นเดือน แล้วพยายามกระจายไปให้ครบทั้งเดือนแทน เพื่อสร้างตัวเลขว่ารายจ่ายของเรามีเฉพาะรายจ่ายส่วนตัวเท่านั้น ทั้งนี้หากรายจ่ายของเราเป็นประเภทบัตรกดเงินสดต่างๆ ก็จะไม่มีประโยชน์อะไร เนื่องจากข้อมูลเหล่านั้นจะไปปรากฏอยู่ในเครดิตบูโรอยู่ดี
ยื่นขอสินเชื่อหลายรายพร้อมๆกัน
สิ่งที่เจ้าหนี้กลัวที่สุดก็คือการที่ลูกหนี้ยื่นกู้ขอสินเชื่อบุคคลพร้อมๆกันจากหลายรายในเวลาเดียวกัน เพราะแม้ว่าแต่ละรายจะขอดูข้อมูลเครดิตในเครดิตบูโร แต่จะไม่ทราบว่าบริษัทใดบ้างเข้ามาดู เพราะจะมีการปกปิดชื่อไว้
เรามาทำความเข้าใจถึงกระบวนการขอดูข้อมูลสินเชื่อของบริษัทสมาชิกกันก่อนนะครับ จากการโทรไปสอบถามกับบริษัทเครดิตบูโรพบว่า หากบริษัท A เข้ามาดูข้อมูลเครดิต จะมีการบันทึกว่าบริษัท A เข้ามาดู ต่อมาหากบริษัท B เข้ามาดูข้อมูลเครดิต ก็จะเห็นแค่เพียงว่ามีการเข้ามาดูจากบริษัทหนึ่งเท่านั้นโดยจะไม่ทราบว่าเป็นบริษัท A
ทั้งนี้ผลการอนุมัติหรือไม่นั้นจะไม่เกี่ยวข้องกัน แต่สามารถคาดเดาได้จากสถานะของสินเชื่อในเครดิตบูโรล่าสุดว่ามีการเข้ามาดู แล้วมีผลการเดินบัญชี และสถานะ ซึ่งอาจจะมองได้เหมือนกรณีเรายื่นกู้ซื้อบ้านหลายที่ก็ย่อมมีการดูจากหลายราย แต่การอนุมัติก็จะมีจากรายเดียวเพราะมีบ้านหลังเดียว
จากประเด็นตรงนี้หากเราต้องการยื่นกู้สินเชื่อบุคคล ก็ต้องยื่นไปทั้ง 10 บริษัทพร้อมกันเลย การยื่นทีละบริษัทแล้วเว้นไป 4 – 5 เดือนแล้วยื่นอีกนั้น บริษัทหลังๆอาจจะไม่อนุมัติแล้วเพราะเห็นข้อมูลเครดิตในบูโรแล้วว่าเราได้รับสินเชื่อไปแล้ว แต่การยื่นทั้ง 10 บริษัทพร้อมกัน แต่ละบริษัทก็จะเห็นว่ามีการเข้ามาดู โดยบริษัทแรกก็จะไม่เห็นอะไร บริษัทที่ 2 จะเห็นว่ามีการเข้ามาดูแล้ว 1 บริษัท บริษัทที่ 10 จะเห็นว่ามีการเข้ามาดูอยู่ 9 บริษัท
หากบางบริษัทโทรมาสอบถามว่าทำไมมีการเข้าไปดูเครดิตบูโรเยอะจัง ก็แจ้งไปว่าพอดีกำลังยื่นกู้ร่วมซื้อบ้านกับญาติอยู่ และญาติคงยื่นไปหลายธนาคารมากไม่ทราบว่ารายไหนบ้าง และที่ยื่นกู้สินเชื่อส่วนบุคคลก็เพราะอาจจะต้องจ่ายค่าธรรมเนียมโน่นนี่นั่นระหว่างโอนบ้าน ซึ่งก็ดูสมเหตุสมผลดี
วิธีการนี้จะทำให้ไฟแนนซ์ต่างๆ อนุมัติสินเชื่อออกมาพร้อมๆกัน สมมุตแต่ละรายให้ 3.5 เท่าของเงินเดือนก็ตก 50,000 บาทต่อราย 10 รายก็ได้เงินสดๆ 500,000 บาท หลังจากนั้นก็รอจดหมายทวงหนี้อย่างเดียว ซึ่งถ้าหากเราไม่มีทรัพย์สินอะไร สุดท้ายก็จะจบลงที่โดนหักเงินเดือนในส่วนที่เกิน 10,000 บาทเท่านั้น ส่วนเงิน 500,000 บาท อย่าลืมอย่างเดียวคือ ห้ามใส่ไว้ในบัญชีที่มีชื่อของตัวเอง
ดังนั้นหากคิดจะทำวิธีนี้ควรแจ้งกับหัวหน้าแต่เนิ่นๆ ว่าที่บ้านทำธุรกิจซึ่งตอนนี้ก็คงจะไปไม่รอด ตัวเองยอมล้มละลายเพื่อให้ธุรกิจที่บ้านอยู่รอด แต่รับรองว่าไม่กระทบกับงานแน่นอน เพราะไม่ใส่ใจ ล้มก็ล้ม ตราบใดที่เจ้านายยังจ่ายเงินเดือนอยู่ก็จะตั้งใจทำงานอย่างเต็มที่ ยินดีรับเงินเดือน 10,000 บาท ส่วนที่เหลือเจ้าหนี้รายไหนจะเอาไปก็ช่างเขา
สรุปประเด็นการหาเงินล้านด้วยเงินเดือนเพียง 15,000
– ตบแต่งบัญชีให้ดูเหมือนไม่มีภาระอะไร
– ยื่นกู้สินเชื่อทุกเจ้าพร้อมๆ กัน
– เตรียมโดนยื่นฟ้องล้มละลายหากยอดหนี้ทั้งหมดเกิน 1,000,000 บาท
– รอโดนหักเงินเดือนให้เจ้าหนี้ ยังเหลือเงินไว้ใช้จ่ายรายเดือนอีกเดือนละ 10,000 บาท
หมายเหตุ
– วิธีการนี้ห้ามใช้กันหนี้นอกระบบ เพื่อความปลอดภัยและสวัสดิภาพของตัวท่านเอง
– พร้อมที่จะล้มละลาย หากรับราชการจะต้องออกจากงาน หากทำงานบริษัทเอกชนอาจจะแป๊ก
– หลังได้สินเชื่อในแต่ละรายแล้ว ควรผ่อนชำระบ้างในเดือนสองเดือนแรกของแต่ละราย เพื่อสื่อถึงเจตนาในการเป็นลูกหนี้ที่ดี จะได้เป็นกรณีของการผิดนัดชำระหนี้เท่านั้นเนื่องจากธุรกิจที่ไม่ประสบผลสำเร็จอะไรก็ว่าไป
– กรณีบัตรเครดิต หากมีการชำระเงินเข้าไป อายุความคดีแพ่งจะเริ่มนับใหม่ ซึ่งอายุความจะเป็นระยะเวลา 2 ปี หากเลยสองปีจากการชำระหนี้ครั้งสุดท้ายแล้วยังไม่โดนฟ้องก็เป็นเหตุให้ยกฟ้องได้
– ไม่ควรใช้ที่อยู่ที่เป็นบ้านพักอาศัยที่พ่อแม่อยู่ เดี๋ยวจะเครียดกับพ่อแม่ที่เห็นจดหมายทวงหนี้ ควรจะใช้ที่อยู่บ้านเช่า อพาร์ทเม้นในการขอกู้
คำเตือน
– หากมีประวัติล้มละลาย จะไม่สามารถสมัครเข้ารับราชการใดๆ ได้
– แม้พ้นช่วงล้มละลายไปแล้ว หนี้ก็คือหนี้ เรายังเป็นหนี้เขาอยู่ตลอดไป
– การล้มละลาย จะไม่สามารถทำธุรกรรมทางการเงินด้วยตัวเองได้อีกต่อไป ต้องมีคนไว้ใจได้เรื่องเงินมาทำหน้าที่แทนเรา ดังนั้นหากหาคนไว้ใจไม่ได้ เงินล้านที่ได้มาอาจจะโดนโกงไปอีกที
จุดมุ่งหมายของบทความนี้
– เพื่อให้เจ้าหน้าที่วิเคราะห์สินเชื่อหน้าใหม่ เห็นถึงช่องโหว่ที่ลูกหนี้หัวหมออาจจะเล่นงานเราได้ การวิเคราะห์สินเชื่อกรณีมีการดูเครดิตบูโรพร้อมๆกันจากหลายบริษัท อาจจะต้องขอหลักฐานเพิ่มว่า มีการขอดูเพราะยื่นกู้เรื่องอะไร
– เพื่อให้ผู้ปล่อยกู้ในระบบที่ไม่เป็นสมาชิกเครดิตบูโรเห็นถึงความเสี่ยง ว่าการไม่เป็นสมาชิกอาจจะเจอภาวะที่ลูกค้ากำลังกู้แบบตีหัวเข้าบ้านหรือเปล่า
– เพื่อให้เจ้าหนี้ที่วิเคราะห์สินเชื่อมือเก๋าได้ตระหนักว่า ธุรกิจที่ดูดี มีรายได้ มีผลกำไร และกำลังมายื่นขยายกิจการนั้นกำลังเล่นไม่ซื่อหรือเปล่า หากเขายื่นขอสินเชื่อ SME หรือสินเชื่อบุคคลสำหรับผู้ประกอบการไปยัง 5 สถาบันการเงิน รายละ 1 ล้านบาทพร้อมๆ กัน จะได้ยอดเงินกู้รวม 5 ล้านบาท หากเอาเงินนี้ไปซื้อที่ทำสวนตามต่างจังหวัดก็อาจจะได้พื้นที่ถึง 50 ไร่ คนอื่นหาทั้งชีวิตก็อาจจะไม่ได้เท่านี้ ดังนั้นหลักประกันจะต้องแน่นหนาคุ้มมูลหนี้อย่าเชื่อแค่ statment เพียงอย่างเดียว
22870 total views, 2 today