ลีสซิ่งกสิกรไทย โชว์ผลกำไรโต 68% สำหรับไตรมาสแรกปี 59
ลีสซิ่งกสิกรไทย โชว์ผลกำไรโต 68% สำหรับไตรมาสแรกปี 59
นายทวี ธีระสุนทรวงศ์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ลีสซิ่งกสิกรไทย จำกัด ได้เปิดเผยกับผู้สื่อข่าวว่า ผลประกอบการของบริษัทในไตรมาสแรกของ ปี 2559 บริษัท ลีสซิ่งกสิกรไทย จำกัด สามารถทำการปล่อยสินเชื่อได้ 20,828 ล้านบาท คิดเป็นตัวเลขเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว 37.38% โดยแบ่งเป็นสินเชื่อใหม่เช่าซื้อและลีสซิ่งจำนวน 8,036 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4.52% และสินเชื่อผู้แทนจำหน่ายรถยนต์จำนวน 12,792 ล้านบาท คิดเป็นตัวเลขเพิ่มขึ้น 71.18%
ในส่วนของยอดสินเชื่อคงค้างนั้น มียอดรวม 88,193 ล้านบาท โดยลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า 1.52% ซึ่งสอดคล้องกับสภาพของตลาดรถยนต์โดยรวม ที่มียอดขายลดลงจากปี 2558 โดยบริษัทมีสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้อยู่ที่สัดส่วน 1.53% ส่งผลให้บริษัทมีกำไรรวม 165 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนแล้วโต 68.84%
แนวโน้มตลาดรถยนต์ในไตรมาสแรกของปี 2559 นั้นยังคงมีความเสี่ยงจากปัจจัยกดดันหลายประการด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นภาวะภัยแล้ง ราคาสินค้าเกษตรตกต่ำ หนี้ครัวเรือนที่สะสมในระดับสูง ภาคการส่งออกที่ยังคงมีความเสี่ยงจากภาวะเศรษฐกิจประเทศคู่ค้า รวมถึงความเข้มงวดของการปล่อยสินเชื่อที่ยังคงดำเนินต่อไป และการชะลอตัวของยอดขายรถยนต์ที่มีผลจากการทยอยปรับราคารถยนต์สูงขึ้นในปีนี้ เพื่อรับกับอัตราภาษีสรรพสามิตใหม่ ส่งผลให้ตลาดสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ยังชะลอตัวต่อไปอีกระยะหนึ่ง
อย่างไรก็ตาม สำหรับแนวโน้มในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2559 นั้น ทางบริษัทคาดการณ์ว่า อัตราการเติบโตของตลาดสินเชื่อเช่าซื้อจะมีแนวโน้มสดใสมากขึ้น โดยน่าจะปรับตัวดีขึ้นเล็กน้อยที่ระดับ 0-2% หากเศรษฐกิจมีการปรับตัวดีขึ้นจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและโครงการลงทุนสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานของภาครัฐ ในส่วนตลาดสินเชื่อรถยนต์ใช้แล้วนั้น คาดว่าจะมีโอกาสฟื้นตัวต่อเนื่องจากครึ่งหลังของปีก่อน เนื่องจากราคารถยนต์ใหม่ที่มีราคาสูงขึ้น ส่งผลให้ราคารถมือสองไม่ต่ำมากนักเมื่อเทียบกับปีก่อน ดังนั้นสำหรับตลาดรถแลกเงินแล้ว คาดว่ายังมีโอกาสเติบโตต่อเนื่องจากปี 2558
นอกจากนี้แล้วศูนย์วิจัยกสิกรไทยยังประเมินว่ายอดขายรถยนต์ในปีนี้ จะเคลื่อนไหวอยู่ในช่วงหดตัว 5-10% หรือคิดเป็นยอดขายประมาณ 720,000 – 760,000 คัน ซึ่งส่วนของกลุ่มรถยนต์ SUV ขนาดเล็ก (B-SUV) อีโคคาร์ และปิกอัพ 1 ตัน ยังเป็นกลุ่มที่มีปัจจัยบวกเกื้อหนุนให้ทำตลาดได้ดีกว่ารถประเภทอื่น สำหรับ B-SUV ได้รับปัจจัยบวกจากผู้บริโภคโดยเฉพาะในกรุงเทพฯ ปริมณฑล และหัวเมืองใหญ่ ที่นิยมรถอเนกประสงค์ที่สามารถใช้งานได้หลากหลายมากขึ้น ส่วนรถอีโคคาร์ ได้แรงหนุนจากปัจจัยเรื่องราคาที่ไม่เปลี่ยนแปลง และบางรุ่นในกลุ่มอีโคคาร์เฟส 2 มีการปรับราคาลง ส่วนรถปิกอัพ ได้รับแรงหนุนจากการลงทุนภาครัฐและเอกชนที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นในปีนี้ รวมถึงราคารถปิกอัพส่วนใหญ่ที่ไม่ปรับเพิ่มมาก
ข่าวจาก infoquest
1808 total views, 2 today