ประสบการณ์ ของคนที่จมกับหนี้บัตรเครดิต และวิธีการรับมือ
ประสบการณ์ ของคนที่จมกับหนี้บัตรเครดิต และวิธีการรับมือ
เชื่อได้เลยว่าไม่ว่าใครๆก็ไม่อยากเป็นหนี้เป็นสินให้เครียดสมอง แต่ความจำเป็นต่างๆ มันทำให้เราต้องเป็นหนี้ การเป็นหนี้นั้นเนื่องจากรายจ่ายมากกว่ารายได้ บางคนทำงานประจำรายได้คงที่ แต่รายจ่ายไม่พอใช้
เหตุผลที่คนต้องเป็นหนี้ก็เพราะรายจ่ายมากกว่ารายรับ คำถามคือรายจ่ายมากกว่าได้อย่างไร จริงๆแล้วรายจ่ายของเราก็ขึ้นอยู่กับการใช้ชีวิตของเรานั่นเอง นั่นเพราะมนุษย์เราต้องการปัจจัยสี่ในการดำรงค์ชีพ ถ้าไม่มีเงินก็ไม่สามารถดำรงค์ชีพอยู่ได้ จึงต้องหางานทำ ถ้าความสามารถไม่ถึงรายได้ก็น้อย แต่อยากจะมีชีวิตที่สุขสบาย ต้านกิเลสของตัวเองไม่ได้ เมื่อคิดว่าตัวเองจะจ่ายซื้อความสุขได้ก็เลยจ่ายไปก่อน แล้วคิดว่าค่อยตามแก้ปัญหาทีหลัง
การเป็นหนี้คือการนำรายได้ในอนาคตมาใช้ คือใช้ก่อนแล้วค่อยผ่อนทีหลังด้วยรายได้ในอนาคต แต่พอเกิดเรื่องไม่คาดคิดขึ้นมา เงินเก็บก็ไม่มี ก็เลยจำเป็นต้องเป็นหนี้
มนุษย์เงินเดือนทั่วๆไปเลยอาศัยการสมัตรบัตรเงินสด บัตรเครดิตต่างๆ ขอสินเชื่อส่วนบุคคลซึ่งมีให้บริการมากมายจากหลายสถาบันการเงิน
พอมีหลายบัตรเข้า อำนาจการซื้อก็สูงขึ้นหลายเท่าตัวของรายได้ ผลก็คือดอกเบี้ยที่ตามมา ซึ่งมีอัตราอย่างต่ำก็ 20 – 28% ต่อปี แค่สามสี่ปีถ้าผ่อนแค่ขึ้นต่ำเงินต้นก็จะไม่หายไปไหนเลย กลายเป็นหนี้สินพอกทวีคูณ
เราลองมาดูตัวอย่างของลูกหนี้รายหนึ่งซึ่งโพสเล่าเรื่องราวบนเว็บพันทิพให้เราได้ดูเป็นอุธาหรณ์กัน
อายุ 24 เงินเดือนหมื่นห้า แต่ต้องจ่ายหนี้เดือนละสามหมื่น
หล่อนเล่าว่าหล่อนเป็นคนบ้านนอก โตขึ้นอยากมีห้องส่วนตัวที่มีเฟอร์นิเจอร์ครบครัน มีทีวีจอแบน มีเตียงนอนใหญ่ๆ กระเป๋า นาฬิกา คอมพิวเตอร์ สมาร์ทโฟน ตู้เย็น ไมโครเวฟ อยากมีพร้อมทุกอย่างว่างั้น
พอได้ทำงานประจำเงินเดือน 15,000 บาท ก็เริ่มสมัครบัตรเครดิตไว้ใช้ ก็เริ่มตระเวณสมัตรทีละบัตร พอวงเงินเต็มก็สมัตรบัตรต่อไป จนถึงจุดหนึ่งมีบัตรต่างๆ ดังนี้คือ
– ไทยพาณิชย์ 2 ใบ
– กสิกร 3 ใบ
– CIMB THAI 2 ใบ
– บัตรกรุงศีพเฟิร์สช้อยส์
– บัตรอื่นๆ
อาศัยการรูดทุกบัตรทุกใบ ทั้งรูดซื้อของ กดเป็นเงินสดออกมา เงินสะพัดเต็มมือ ในขณะที่ตัวเองเงินเดือนแค่หมื่นนิดๆ กดโดยไม่ได้คำนึงว่าจะผ่อนจ่ายคืนไหวหรือไม่
ช่วงแรกๆ ก็มีจ่ายชำระหนี้แบบขั้นต่ำตามที่แต่ละบัตรกำหนด แต่นานๆเข้าดอกเบี้ยก็ทับถม เริ่มจ่ายไม่ไหว ไหนจะยอดใช้เก่า ยอดดอกเบี้ย ยอดที่กดมาใหม่ กดจากบัตรนี้ไปจ่ายบัตรโน้น หมุนเงินตัวเป็นเกลียวจนแต่ละเดือนต้องชำระหนี้คืน 3 – 4 หมื่นบาท
ถึงจุดนี้ก็เริ่มจ่ายไม่ไหว บริษัททวงหนี้ก็เริ่มโทรหา โดยช่วงแรกๆก็จะโทรเข้ามือถือส่วนตัว รับบ้างไม่รับบ้าง จนตอนหลังเห็นเบอร์แปลกๆ ก็เริ่มไม่รับโทรศัพท์ จนเริ่มมีการโทรเข้าไปที่ทำงาน โทรบ่อยๆจนทำให้อายกันไปทั้งที่ทำงาน เพราะคนรับโทรศัพท์เริ่มถามว่าบริษัทบัตรอะไรทำไมโทรมาบ่อยเหลือเกิน
ก็ตกอยู่ในสภาวะแบบนี้อยู่นับปี เลยเริ่มรู้สึกว่าไม่ไหวแล้ว ต้องทำอะไรซักอย่าง เพราะโตขึ้นคิดว่าต้องมีบ้านมีรถไม่อยากติดเครดิตบูโร ถ้าโดนฟ้องศาลขึ้นมา
สุดท้ายเลยตัดสินใจโทรหาบริษัทบัตรทุกใบที่ค้างชำระว่าขอผ่อนจ่ายได้ไหม ซึ่งพนักงานก็แนะนำว่าให้ทำการปรับโครงสร้างหนี้ โดยการรวมหนี้และดอกเบี้ยเข้าด้วยกันและกำหนดให้เราผ่อนจ่ายเป็นรายเดือนให้หมดภายใน 2 ถึง 3 ปี
เลยตกลงตามนั้น ช่วงไหนบัตรนั้นๆมีโปรโมชั่น พนักงานก็จะโทรมาแจ้งว่าตอนนี้มีโปร ลด 50% – 70% แต่สามารถผ่อนจ่ายได้ภายใน 3 เดือนเช่น ถ้ามียอดค้างขำระอยู่ 50,000 บาท ลด 50% จ่ายคืนแค่ 25,000 บาท ให้จบภายใน 3 เดือน โดยเดือนแรกจาก 15,000 เดือนต่อมาเดือนละ 5,000 บาท ครบเมื่อไหร่ก็ถือว่าปิดบัญชีกันไป
วิธีนี้ภาษาคนเป็นหนี้เขาเรียกว่า Hair Cut เนื่องจากหนี้ของเรานั้นได้รวมเงินต้น พร้อมดอกเบี้ยอันสุดโหดไปแล้ว ก่อนหน้านี้เราก็จ่ายไปบ้างแล้วด้วย การลดตรงนี้จริงๆแล้วก็เป็นการลดดอกเบี้ยให้เรานั่นเอง บริษัทไม่ถึงกับขาดทุนอะไรมาก แต่ถือเป็นทางออกที่ดีในการแก้ปัญหาหนี้ของเราเอง เหมาะสำหรับคนที่ต้องการหลุดพ้นจากวังวนการเป็หนี้ในระบบเสียที
หากเราได้ทำการจดบันทึกรายการต่างๆเอาไว้ และติดตามการชำระหนี้ของแต่ละบัตร จะทำให้เรารับรู้สถานะทางการเงินของเราได้เร็วขึ้น และสามารถปิดหนี้ได้เร็วขึ้นอีกด้วย
ดังนั้นหากท่านอยู่ในวังวนการเป็นหนี้แล้วละก็
ตัดบัตรเครดิตทุกใบเป็นสองท่อน แล้วเลิกใช้งาน แล้วโทรหาแต่ละบริษัทเพื่อที่จะจัดการกับปัญหาหนี้สินของคุณทันที
2896 total views, 1 today