ธ.ก.ส.จัดงบฯ หนุน SME ภาคเกษตรเพิ่มขีดความสามารถ-มาตรการช่วยภัยแล้ง

ธ.ก.ส.จัดงบฯ หนุน SME ภาคเกษตรเพิ่มขีดความสามารถ-มาตรการช่วยภัยแล้ง
นายลักษณ์ วจนานวัช ผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ได้ออกมาเปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้มีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงการคลังนำเสนอมาตรการเพิ่มขีดความสามารถภาคเกษตรกร และมาตรการช่วยเหลือผู้ประสบภัยแล้งโดย ธ.ก.ส. ซึ่งประกอบด้วย โครงการสินเชื่อ 1 ตำบล 1 SMEs เกษตร (SMAEs) เพื่อเป็นการสร้างความยั่งยืนของภาคเกษตรไทย ด้วยวงเงินสินเชื่อรวม 72,000 ล้านบาท โครงการชุมชนปรับเปลี่ยนการผลิตสู้วิกฤตภัยแล้งด้วยวงเงินสินเชื่อรวม 15,000 ล้านบาท และโครงการสินเชื่อเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายฉุกเฉินและจำเป็นของเกษตรกรที่ประสบภัยแล้งปี 2558/2559 ด้วยวงเงินอีก 6,000 ล้านบาท
โดย ธ.ก.ส. เองมีความพร้อมในการสนับสนุนโครงการสินเชื่อ 1 ตำบล 1 SMAEs ตามที่ครม.มีมติให้ดำเนินโครงการสนับสนุนสินเชื่อเพื่อสร้างความยั่งยืนของภาคเกษตรไทย เพื่อส่งเสริมการประกอบอาชีพของเกษตรกรหรือชุมชน รวมถึงในการพัฒนาผลผลิตหรือผลิตภัณฑ์ของเกษตรกรหรือชุมชน อันเป็นการสร้างมูลค่าเพิ่มสินค้าเกษตรในกระบวนการผลิต การรวบรวม การแปรรูป การตลาด และการบริการ ในวงเงิน 72,000 ล้านบาท เพื่อให้สอดคล้องกับเจตนารมณ์ที่จะร่วมกันขับเคลื่อนการพัฒนาและยกระดับคุณภาพเศรษฐกิจฐานรากของประชาชนของรัฐบาล
สำหรับกลุ่มเป้าหมายก็คือ เกษตรกร บุคคล ผู้ประกอบการ กลุ่มเกษตรกร สหกรณ์ภาคการเกษตร วิสาหกิจชุมชน กองทุนหมู่บ้านและสถาบันการเงินชุมชน ที่เป็นผู้ประกอบธุรกิจหรือกิจการที่มีวัตถุประสงค์เป็นการส่งเสริมการประกอบอาชีพของเกษตรกรหรือชุมชน และการพัฒนาผลผลิตหรือผลิตภัณฑ์ของเกษตรกรหรือชุมชนในกระบวนการผลิต การรวบรวม การแปรรูป การตลาด และการบริการ รวมถึงผู้ประกอบธุรกิจหรือกิจการที่อยู่ระหว่างการพัฒนาตนเองเพื่อเป็นผู้ประกอบการ SMAEs
โดยโครงการนี้กำหนดวงเงินกู้รายละไม่เกิน 20 ล้านบาท ซึ่งตั้งแต่ปีที่ 1-7 จะคิดอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 4 ต่อปี และตั้งแต่ปีที่ 8 เป็นต้นไป คิดอัตราดอกเบี้ยตามอัตราปกติของธนาคาร และกำหนดให้สินเชื่อตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2559 จนถึงวันที่ 31 มีนาคม 2560 โดยมีเป้าหมายเพื่อยกระดับเกษตรกรไทยทั่วประเทศให้เป็นผู้ประกอบการ SMEs เกษตร กว่า 7,305 ราย หรืออย่างน้อย 1 ตำบล ต้องมีผู้ประกอบการ SME เกษตร 1 ราย
นอกจากนี้แล้วผู้จัดการ ธ.ก.ส. กล่าวว่า ธ.ก.ส. ยังได้ดำเนินโครงการชุมชนปรับเปลี่ยนการผลิตสู้วิกฤตภัยแล้ง โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมความรู้ในการผลิตการเกษตรตามมาตรฐานคุณภาพที่มีตลาดรองรับ โดยสนับสนุนเงินทุนแก่ชุมชนในการจ้างผลิตเพื่อปรับเปลี่ยนการผลิตและให้เกิดการบริหารจัดการภายในชุมชน เพื่อเป็นต้นแบบในการขยายผลสู่การปรับโครงสร้างการผลิตการเกษตรและเพื่อพัฒนาสู่การจัดตั้งกองทุนเพื่อปรับโครงสร้างการผลิตการเกษตรตามนโยบายรัฐบาล
อีกทั้งเพื่อเป็นการปรับโครงสร้างการผลิตภาคการเกษตรให้มีศักยภาพเพียงพอเพื่อรองรับปัจจัยเสี่ยงจากผลกระทบวิกฤติภัยแล้งที่ส่งผลต่อการผลิตและรายได้ของเกษตรกรในปัจจุบัน โดยดำเนินการจะเป็นไปในลักษณะเกษตรพันธะสัญญา (Contract farming) ระหว่างชุมชนกับผู้รับซื้อผลผลิต เพื่อให้เกษตรกรจะไม่ต้องรับความเสี่ยงจากการผลิตและการตลาด โดยยึดหลักการดำเนินการในรูปแบบของการแบ่งปันผลประโยชน์ระหว่างรัฐและประชาชนภายใต้กรอบแนวคิด “ประชารัฐเพื่อเศรษฐกิจฐานรากมั่นคง และชุมชนเข้มแข็ง” ซึ่งจะช่วยให้การใช้จ่ายงบประมาณของรัฐเป็นไปอย่างคุ้มค่าและมีประสิทธิภาพและลดความเสี่ยงจากการผลิตพืชเชิงเดี่ยวของเกษตรกร
สำหรับในเบื้องต้นได้มีกำหนดประเภทผลผลิตไว้ 6 ชนิด ได้แก่ พืชตระกูลถั่ว (ถั่วเขียว ถั่วเหลือง) ผักคะน้า กวางตุ้ง เห็ดฟาง เมล่อนและหญ้าเนเปียร์ แต่สำหรับผลผลิตอื่นๆ หากชุมชนจะดำเนินการจะต้องมีตลาดรับซื้อที่แน่นอนก่อน
ทั้งนี้โครงการนี้เริ่มดำเนินการตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2559 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2561 จำนวนวงเงินกู้สูงสุดไม่เกิน 3,000,000 บาท ต่อชุมชน คิดดอกเบี้ยจากชุมชนในอัตราร้อยละ 0.01 ต่อปี โดยรัฐบาลจจะชดเชยอัตราดอกเบี้ยส่วนต่างแทนชุมชน กำหนดชำระคืนเงินกู้ ไม่เกิน 12 เดือน นับแต่วันกู้ วงเงินสินเชื่อรวม 15,000 ล้านบาท โดยให้แต่งตั้งพนักงานประจำสำนักงาน ธ.ก.ส.ทุกจังหวัดและสาขา เป็นผู้รับผิดชอบโครงการ (Mr. XYZ) ทำหน้าที่ดูแล ติดตาม และกำกับการดำเนินงานโครงการในแต่ละชุมชนอย่างใกล้ชิด
ทั้งนี้ตามโครงการนี้นั้นเกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการจะมีรายได้ ดังนี้ รายได้ = (X+Y+Z) โดยที่
X คือ รายได้จากค่าเช่าที่ดินเพื่อการผลิต
Y คือ รายได้จากค่าจ้างแรงงานการผลิต
Z คือ เงินปันส่วนให้แก่สมาชิกตามโครงการหลังจากหักค่าใช้จ่ายของชุมชน
ที่มา infoquest
2586 total views, 1 today